เนื้อหาที่รวบรวม

รวบรวมความศรัทธา... จิตวิทยา... ความเชื่อ... ที่นำพาสู่ความสำเร็จ...

ความศรัทธา

ความศรัทธา ที่ประกอบด้วยหลักเหตุผลการวิเคราะห์ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำพาเราไปพบความสำเร็จ

ความเชื่อ

เกิดจากความศรัทธาที่วิเคราะห์แล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริง... ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราก็จะเดินถูกทาง

สิ่งแวดล้อมรอบตัว

คุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นไร คุณคบเพื่อนแบบไหน... สิ่งแวดล้อมนั้น จะทำให้คุณสอดคล้องกับภาวะเช่นนั้น...

If you are going [...]

ความสำเร็จ

คนบนโลกนี้มีคนสำเร็จมากมาย ทั้งทางโลกและทางธรรม... คุณจะเดินทางตามใครนั้นแล้วแต่คุณจะเลือก แต่ขอให้มีคุณธรรมมากพอ

ความสมดุลของโลก

โลกของเรารักษาสมดุล คุณมอบสิ่งใดกับโลกและสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือภาวะต่างๆ คุณก็จะได้รับสิ่งนั้นตอบแทนกลับมาเช่นกัน...

สมดุลโลก...

         เปลี่ยนแนวมาทางพุทธศาสนากันบ้างนะครับ... ผมบังเอิญได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า " ผลบุญคือกำลังชีวิต สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม" เขียนโดยพระภาสกร  ภูริวัฑฒโน ...ตอนแรกเห็นหน้าปก บอกตรงๆว่าจะหยิบมาอ่านดีมั้ยน๊อ... ดูแล้วเหมือนจะเป็นทฤษฎีธรรมล้วนๆ... แต่ผิดถนัดเลยครับ... เนื้อหาเป็นแบบวิทยาศาสตร์เนื้อหาชวนอ่านและน่าติดตามจนวางไม่ลงเลยครับ...
        บทความนี้ ผมจะยกเอาเรื่องสมดุลโลกมากล่าวคร่าวๆนะครับ... ส่วนสมดุลใจ และสมดุลธรรม ท่านลองไปหาซื้อมาอ่านกันเลยนะครับ...เล่มบางๆประมาณ 120 หน้าเท่านั้น... อ่านจบแล้วท่านจะเข้าใจ กฏแห่งกรรม มากยิ่งขึ้น เพราะทุกอย่างล้วนสมดุล...มีแรงใดกระทำไปก็มีแรงกลับมาเช่นกัน...
       สมดุลโลกกล่าวไว้ว่า เมื่อเรากระทำให้อะไรออกไปที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก ก็ย่อมได้ผลเช่นนั้นกลับมาเหมือนกัน...เคยมั้ยบางครั้งรู้สึกดวงซวย หรือบางครั้งก็ เฮง...เป็นไปได้มั้ยที่ก่อนหน้านั้น หมายถึงชาติที่แล้วเราเคยกระทำอะไรบางอย่างและมีผลมาเกิดขึ้นในปัจจุบัน...
       สมมุติว่าพรุ่งนี้เป็นวันตายของเรา...แล้วสิ่งที่เราทำไปทั้งดีและชั่วจะให้ผลยังไงกันหล่ะ... ถ้าทฤษฎีสมดุลโลกเป็นจริง ก็ย่อมให้ผลหลังความตาย...นี่ก็หมายถึงว่า เรามีชาติต่อๆไปใช่หรือไม่... เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งใดที่เราทำแก่โลกมาก เราก็จะได้กลับมามากเช่นกัน... เพราะฉะนั้นแล้ว จงเชื่อมั่นในความดีที่เราได้กระทำลงไป อย่าเฝ้ารอโชควาสนา เพราะทุกอย่างการกระทำของเราได้กำหนดเส้นทางไว้แล้ว... ขอให้ทุกท่านมีความสุขกันนะครับ...ขอบคุณครับที่อ่านบทความนี้...

By Yutth with No comments

Dr.Mel Gill - The Meta Secret, WoodyTalk (CH9) - 27 Mar 2011

                  วันนี้ก็ขอเอา Link youtube มา share เหมือนเดิมอีกครั้งนะครับ... เป็นการสัมภาษณ์สด Dr. Mel Gill ในรายการ Woody Talk ก็ผ่านมากว่า 1 ปีแล้วครับ... แต่ผมว่าหลายๆท่านคงไม่ได้รับชมกัน... เชิญชมได้เลยครับ... Meta Secret หนังสือเล่มนี้ น่าสนใจจริงๆ...

By Yutth with No comments

Movie Trailer - The Meta Secret : จุดเริ่มต้นของความลับเหนือโลก

                  วันนี้ผมได้เอา Link จาก youtube มาให้ได้ชมกันนะครับ...ดูเป็น Movie กันไปเลย...ดูแล้วสงสัยจะพากันรีบไปหาซื้อหนังสือกันหล่ะคราวนี้... นี่เป็นไตเติลของเรื่องที่เขาได้ค้นพบความลับทั้งหมด 7 ข้อ...มีอะไรบ้างก็ลองไปหามาอ่านนะครับ...แต่ถ้าอยากรู้เดี๋ยวผมอาจจะค่อยๆลงให้อ่านกัน...เอาเป็นว่าเราไปดูวีดีโอกันเลยนะครับ... ^^




By Yutth with No comments

ความลับเหนือโลก ในมุม "ดร.เมล กิลล์" The Meta Secret


ความลับเหนือโลก ในมุม 'ดร.เมล กิลล์'
โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

             วันนี้อาจจะได้อ่านยาวนะครับ... แต่สำหรับท่านที่ต้องการความสำเร็จ ผมว่าเนื้อหามันสั้นไปนิดนึง... ดร.เมล  กิลล์ คือใคร? หลายท่านอาจะถาม แต่ที่แน่ๆเขาเคยตายมาแล้ว 19 นาที... คำว่าตายนี้ หมายถึงคำวินิจฉัยของแพทย์นะครับ ไม่ใช่เดาเอา...แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่แท้จริงแล้วนั้น เขาเดินทางไปยังชีวิตหลังความตาย... สุดยอดเลยใช่มั้ยครับ...เขาได้เอาความลับเหนือโลก มาเผยแพร่ให้พวกเราได้รับรู้... แค่เกริ่นมา ผมเองยังขนลุกไม่หาย... ยังก็หลังจากอ่านบทความนี้แล้วก็ลองไป อ่านหนังสือเล่มเต็มๆกันดูนะครับ... แล้วท่านอาจจะพบกับสิ่งดีๆ ที่เปลี่ยนชีวิตของท่านก็ได้...

เขาเป็นนักพูดสร้างแรงจูงใจ นักจิตบำบัด และนักเขียน มีคนบอกว่าเขารู้ความลับเหนือโลกในช่วงเวลาหลังความตาย19นาที อะไรคือความลับที่เขาล่วงรู้..

“สิ่งที่ผมค้นพบ ก็คือ ความจริงที่มีอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ค้นพบความจริง และกฎ 7 ข้อที่ผมค้นพบ ถ้านำมาใช้กับชีวิต จะทำให้เรามีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ก็ต้องระวัง” ดร.เมล กิลล์ เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
 หลายคนคงได้ยินข่าวคราวและชื่อเสียงของเขาอยู่บ้าง เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีได้เปิดตัวหนังสือ สุดยอดเดอะซีเคร็ต เขียนโดยดร.เมล กิลล์ นักจิตบำบัดและนักพัฒนามนุษย์ ที่ได้รับเชิญไปบรรยายกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษาของซีอีโอกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง
 นอกจากเดินทางมาเปิดตัวหนังสือ ยังมี "ดินเนอร์ทอล์ค" ที่นักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยให้ความสนใจ ใน "ความลับ" ที่เขาเอามาแบ่งปัน

Photo from : http://www.squidoo.com

1.
 หากตั้งคำถามว่า ทำไมมนุษย์พยายามค้นหาความลับของจักรวาล ในความคิดเห็นของดร.เมล กิลล์ มองว่า สิ่งที่เขาค้นพบเป็นเรื่องธรรมดาๆ ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คุณมีสิทธิที่จะมีความสุข ทั้งหมดอยู่ที่ความคิดและความเชื่อ
 สิ่งที่เปลี่ยนวิธีคิดของเขาทั้งชีวิต คือ ความตายในช่วงเวลา 19 นาที เขาโดนตัดแขนซ้าย เนื่องจากตอนอายุ 19 ปีเขาเดินทางไปปีนเขาที่มาเลเซียและประสบอุบัติเหตุตกเขา แขนหัก บอบช้ำมาก ได้เพื่อนๆ ช่วยกันแบกออกมาจากป่า แล้วเดินทางมารักษาตัวที่สิงคโปร์
 "ตอนนั้นหัวหมุนไปหมด เจ็บปวดมาก จนไม่รู้จะบอกยังไง ตอนผ่าตัดผมเห็นทุกอย่าง เห็นหมอและพ่อแม่กำลังร้องไห้ พวกเขาตัดแขนซ้ายผมบริเวณเหนือข้อศอก เพื่อสกัดเนื้อตายเน่าที่ลุกลาม ผมตายแล้ว ตับไตไม่ทำงาน รู้สึกเหมือนตัวเองลอยขึ้นไปสู่เพดาน เห็นเหมือนอุโมงค์แสงสว่าง และเห็นคนๆ หนึ่งบอกผมว่า คุณต้องกลับไปนะ”
 19 นาทีที่ตายไปแล้ว และฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ดร.เมลเปลี่ยนวิธีคิดและการใช้ชีวิต เพราะได้เรียนรู้บางอย่าง
 "มิติหลังความตายในช่วง 19 นาที ทำให้ผมเปลี่ยนไป ผมยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง ตอนผมอายุเจ็ดขวบ มีเพื่อนอายุ 9 ปีเกเรมาก ผมก็เลยผลักเพื่อนคนนั้นตกบันไดเลือดไหล ความทรงจำอีกด้านหนึ่งของผมบอกว่า เลือดของเพื่อนคนนั้นอยู่ในตัวผมด้วย เหมือนผมเป็นคนที่เจ็บปวด สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือ การกระทำของเราแม้จะเล็กน้อย แต่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตคนอื่นได้ แทนที่เด็กคนนั้นจะเติบโตเป็นหมอ ปรากฎว่าเปลี่ยนมาเป็นพระ”
 เรื่องที่ดร.เมล เล่าให้ฟัง คงต้องมองในเชิงนามธรรม เพราะเสี้ยววินาทีแห่งความตายในวัยหนุ่ม ทำให้เขาได้ค้นหาความหมายของชีวิตเป็นเวลา 40 ปี เขาเรียนจบปริญญาเอกด้านจิตบำบัด ทำงานให้คำปรึกษาบุคคล และเป็นที่ปรึกษาผู้บริหารระดับสูง รวมถึงจัดรายการวิทยุ เขียนหนังสือด้านจิตวิทยากว่า 60 เล่ม กำกับและสร้างภาพยนตร์ "สุดยอดเดอะซีเคร็ต"


2.

 ความจริงที่ศาสดาหลายศาสนาค้นพบบนโลกใบนี้ ใช่ว่า...ทุกคนจะเข้าถึงได้ง่ายๆ จึงมีคนพยายามไขความลับของจักรวาล เรื่องนี้ ดร.เมล กิลล์ มองว่า ความจริงเหล่านี้มีอยู่บนโลก แต่คนเข้าไม่ถึงเท่านั้นเอง
 “คนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย ไม่ใช่ผมคนเดียว ยังมีผู้ป่วยที่ใกล้ตายจำนวนมาก เหมือนเสียชีวิตไปแล้ว แต่แพทย์ดึงกลับมาได้ ผมไม่อาจบอกได้ว่า สิ่งที่ผมค้นพบเป็นแนวคิดพุทธ คริสต์หรือฮินดู แต่เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ธรรมชาติทั้งคน ต้นไม้ ดอกไม้” 
  ใช่ว่า...ชีวิตหลังความตายไม่กี่นาทีจะเปลี่ยนเขาในทันที เขาต้องค้นหา จึงเป็นทั้งนักเดินทาง นักอ่านตัวยง อ่านแม้กระทั่งปรัชญาเฮอร์เมติกของชาวอียิปต์โบราณ กฎฟิสิกส์ ธุรกิจ ปรัชญาและจิตวิทยา ฯลฯ และมีบางช่วงเขาก็ไม่ต่างจากคนอื่น ท้อแท้ สิ้นหวัง กลายเป็นคนพิการ สูญเสียครอบครัว เพื่อนและธุรกิจ
 “ผมไม่ได้นับถือศาสนาใด ผมมีความเชื่อว่า เราทุกคนเป็นพี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกัน ผมมั่นใจว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พุทธ พระองค์ไม่ได้ให้ใครมานับถือตัวตน แต่ให้นับถือสิ่งที่ตรัสรู้หรือแนวทางปฎิบัติ พระองค์ไม่ได้สนใจว่าเป็นพุทธหรือไม่“
 กว่า 40 ปีที่ดร.เมล เดินทางไปพบครูบาอาจารย์ทุกศาสนา เพื่อเรียนรู้ชีวิตทั้งฮินดู พุทธ อิสลาม และอ่านหนังสือทุกศาสนา จึงไม่แปลกที่บ้านของเขาที่ชิคาโกและสิงคโปร์มีหนังสือมากมาย
 "ผมเชื่องช้าในการเรียนรู้จึงใช้เวลานาน ที่ผ่านมาผมเขียนหนังสือจิตวิทยากว่า 64 เล่ม และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาความทรงจำในช่วง 19 นาทีผมชัดเจนมาก จึงนำมาเขียนหนังสือ หากใครพูดถึงบิดาแห่งจิตวิทยา ผมขอยกย่องพระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่งของโลก”
 แม้เขาจะหย่าขาดจากภรรยา และมีลูก 2 คน เขาบอกว่า ไม่ได้คิดว่าชีวิตการแต่งงานล้มเหลว เขากลายเป็นที่ปรึกษาให้ภรรยาและสามีใหม่ของเธอ เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชีวิตลูกๆ ก็จะราบรื่นไปด้วย
 "ผมมีหน้าที่ทำให้ทุกคนมีความสุข เมื่อภรรยาไม่มีความสุขที่จะอยู่กับผม อยากกลับไปหาคนรักสมัยมัธยม ผมก็ขับรถพาไป สำหรับผมแล้วความรักที่แท้จริง ต้องไม่ใช่การผูกมัดหรือเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน ชีวิตผมที่ผ่านมาธรรมดามาก มีลูกก็ใช่ว่าเขาจะฟังผม ” ดร.เมล ยิ้มระหว่างตอบคำถาม


3.
 สิ่งที่ดร.เมล กิลล์ อยากบอกเล่า เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่มนุษย์มองข้าม เขายกตัวอย่าง กฎ 7 ประการที่เขาค้นพบ อาทิ  กฎมโนนิยม กฎแห่งความสั่นสะเทือน กฎแห่งเพศ กฎแห่งขั้วตรงข้าม ฯลฯ อย่างกฎมโนนิยม เป็นเรื่องใจหรือจิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจเราทั้งนั้น จึงต้องฝึกจิตใจให้สงบเพื่อรับกับสถานการณ์
 "จำได้ว่า เมื่อก่อนผมสวดมนต์ จะอธิษฐานขอนั่นนี่  ตอนนี้ผมไม่ทำอย่างนั้นแล้ว”
 ทำไมไม่อธิษฐานขอพรเหมือนเดิม เขาเล่าเรื่องสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชให้ฟังว่า พระองค์เสด็จไปที่วัดแห่งหนึ่งที่มีคนสวดมนต์อธิษฐานขอพร ระหว่างนั้นพระสงฆ์ในวัดเดินออกมา เมื่อเห็นพระองค์กลับเดินหนี 
 พระเจ้าอโศกฯ ถามพระสงฆ์ว่า “ทำไมเดินหนีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่”
 พระสงฆ์ตอบว่า “มีคนปลุกให้พระลุกจากสมาธิ เพราะมีมหาราชผู้ยิ่งใหญ่เดินทางมา แต่เมื่อเดินออกมา แทนที่จะเห็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ กลับเห็นขอทานนั่งขอนั่นขอนี่”
 เขายกตัวอย่างกฎอีกข้อคือ กฎแห่งการดึงดูด ถ้าเราดึงสิ่งใดเข้ามาสู่ตัวเรา แม้จะง่ายที่ใครสักคนมารักเราหรือแต่งงานด้วย แต่สิ่งยากที่สุดคือ การกำจัดบางอย่างออกไปจากชีวิต ต้องระวังให้ชีวิตเกิดความสมดุล  หรือกฎแห่งการสั่นสะเทือน ถ้าเราอยู่ใกล้ใคร เราก็จะเป็นอย่างนั้น
 "ถ้าคุณนำผ้าเช็ดหน้าไปวางไว้บนดอกกุหลาบ ก็จะมีกลิ่นดอกกุหลาบ ถ้าวางในกองมูลวัว ก็จะมีกลิ่นอย่างนั้น ถ้าเราเอาความคิดและจิตใจไปไว้ตรงไหน ก็จะกลายสภาพเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ผมพยายามทำคือ รักษาความสงบของจิตใจ เพราะใจของเราจะส่งพลังงานออกไปข้างนอก
ไม่ว่าผมจะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายขนาดไหน ผมก็สามารถอยู่ตรงนั้นได้อย่างมีความสุข ”
 ว่าไปแล้ว ชีวิตของเขาไม่ได้เริ่มจากการเป็นนักพูดที่มีคนฟังมากมาย แต่เริ่มจากการให้คำปรึกษาคนในครอบครัว เพื่อนและขยายวงไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันเขาเป็นนักพูดที่สร้างแรงจูงใจในหลายประเทศ ทั้งอเมริกา สิงคโปร์และญี่ปุ่น ฯลฯ
 “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครูของผม ผมนั่งอยู่ในห้องนี้ เห็นต้นไม้ก็เห็นฤดูของชีวิต เพราะเราเรียนรู้ตลอดเวลา”


4.
 ดร.เมล สอนผู้คนในหลายประเทศกว่า 34 ปี กฎของจักรวาลอีกข้อที่เขาได้เรียนรู้ก็คือ  “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเป็นเช่นนั้นเอง”
 "ผมไม่ได้มาสอนอะไร แค่มาเตือนหรือตอกย้ำความจริง เรารู้อยู่แล้ว แต่เราลืมสิ่งที่เป็นความจริง ผมขออ้างคำสอนว่า พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะไม่ได้นำธรรมะที่เป็นคำพูดมาเผยแพร่ แต่จะสอนโดยไม่ใช้คำพูด ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น เวลาผมไปพูดในประเทศต่างๆ ผมพยายามอิงกับศาสนาประเทศนั้น เพื่อให้คนเข้าใจได้ง่าย อย่างในประเทศบัลแกเรีย คนส่วนใหญ่ไม่นับถือศาสนา แต่ใช้สามัญสำนึก ผมก็ใช้กฎขั้วตรงข้าม แทนที่จะเปรียบเทียบกับคนที่รวยกว่า ก็เปรียบเทียบกับคนที่จนกว่า”
 เขาย้ำอีกว่า ความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว อยู่ในจิตใต้สำนึก ชีวิตคนเราสั้นมาก เราควรสนุกกับชีวิตในทุกขั้นตอน
 “ผมคิดตลอดเวลาว่า พรุ่งนี้ผมจะตายแล้ว อะไรที่ยังไม่ได้ทำผมพยายามทำในปีนี้ ผมวางแผนว่า จะเขียนหนังสือหรือทำไฟล์เสียง 250 เรื่อง ผมกำลังจะสร้างหนังเรื่องใหม่ ในออฟฟิศผมจะเขียนไว้ว่า “we are one”( เราเป็นหนึ่งเดียวกัน) ถ้าเราสามารถอ่านความคิดหรือเข้าใจคนอื่นได้ ก็จะรู้ว่า เราต่างมีความทุกข์และความเครียดเหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจก็จะให้อภัยคนอื่นได้”
 เรื่องนี้มีคำอธิบายต่อว่า มนุษย์เรามีความต้องการที่อันตราย 7 ข้อ ข้อหนึ่ง คือ ความต้องการเอาคืน ถ้าใครทำให้เราเจ็บใจหรือเสียใจ เรามักจะเอาคืน ยกตัวอย่างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีคนมาด่าว่าเรา เราฝังใจ คิดอยู่เสมอว่าถ้ามีโอกาสจะเอาคืน
 "นั่น...ทำให้เราไม่มีความสุข แต่ถ้าเราเข้าใจว่า เราต่างเป็นหนึ่งเดียวกัน ในเรามีเขา ในเขามีเรา ก็จะเข้าใจความทุกข์ของคนอื่น"


5.
 คงไม่บ่อยนักที่จะมีดินเนอร์ทอล์คเพื่อไขปริศนาชีวิต เรื่องที่เขาเล่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ทำไมคนอยากรู้
ดร.เมล เล่าว่า นักจิตบำบัดและนักจิตเวชกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ มีความเชื่อว่า ประชากรในโลกนี้มีความเจ็บปวดด้วยโรคจิตอย่างหนึ่ง บางคนไม่อาจจำแนกได้ว่า อะไรคือจินตนาการ อะไรคือเรื่องจริง  
  “คุณเคยพูดกับตัวเองไหม อย่างน้อย 50,000 ประโยคในแต่ละวันที่เราพูดกับตัวเอง 80 เปอร์เซ็นต์ของการพูดกับตัวเองเป็นเรื่องแง่ลบ ถ้าคุณไม่ชอบในสิ่งที่คุณเป็น คุณเปลี่ยนแปลงได้ คุณต้องหัดชมคนอื่น ถ้าวันไหนไม่ได้รับคำชม คุณควรให้คำชมเชยคนอื่น เพราะการชมคนอื่นง่ายกว่าการชมตัวเอง  ทำไมคนอเมริกันมาแย่งงานคนเอเชียทำ เวลามีคนถามคนอเมริกันว่า คุณเก่งในงานที่ทำหรือไม่ พวกเขาบอกว่า เยี่ยม เพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องการนับถือตัวเอง "
 ระหว่างการพูดบนเวที บางครั้งเขาเปิดโอกาสให้คนฟังยกมือแสดงความเห็น และให้ชื่นชมซึ่งกันและกันในโต๊ะดินเนอร์ เขาย้ำกฎบางข้ออีกว่า  ความสำเร็จ มาจากความคิด และต้องมีความเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย
 ดร.เมล พยายามย้ำเตือนเพื่อให้คนฟังเปลี่ยนแปลงความคิดด้านลบออกจากหัว เพื่อให้มีความรักในชีวิตและร่างกายตัวเองมากขึ้น
 “คนส่วนใหญ่ไม่ชอบร่างกายตัวเอง ชอบให้รูปร่างหน้าตาเหมือนคนอื่น ผู้หญิงพยายามจะดูเหมือนนางแบบ จริงๆ แล้วมีสุดยอดนางแบบ 300 คนทั่วโลก แต่ผู้หญิง 3,000 ล้านคนพยายามจะเป็นแบบนั้น ทั้งๆ ที่สุดยอดนางแบบไม่ใช่สิ่งปกติ คุณปกติอยู่แล้ว”
 เหมือนเช่นที่กล่าว สิ่งที่เขาพูดก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่มนุษย์สามารถทำได้ แต่มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ดร.เมล บอกว่า เขาพยายามบอกตัวเองว่า พรุ่งนี้เขาอาจไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
 "ผมขอบคุณจักรวาลที่ผมยังมีชีวิตอยู่ เพื่อมีโอกาสแก้ปัญหาให้คนอื่น คุณรู้ไหม จิตใต้สำนึกไม่เคยหลับ ถ้าคุณมีโอกาสจูบลูกก่อนนอน หัวใจของเขาจะพองโต เพราะใจได้สัมผัสใจ”
 บางทีความลับของจักรวาลที่เขาค้นพบ ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม, ในตัวของเรานั่นเอง

หวังว่าทุกท่านที่อ่านจนจบ จะได้สิ่งดีๆกลับไปนะครับ... ^^

By Yutth with No comments

คาถาเงินล้าน...พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

         วันนี้มาแนวความเชื่อ ความศรัทธาแบบเต็มๆ... ใครใคร่เชื่อ และทำก็ทำนะครับไม่เสียหาย...ใครคิดว่า งมงาย ไม่มีเหตุผลก็ผ่านไปนะครับ... ผมก็แค่แชร์เฉยๆนะครับ...อย่างที่บอกไปครับ ว่าบล็อกนี้จะมาแบบผสมผสาน... แต่ผมก็คิดว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร ข้อดีน่าจะเยอะกว่า....
         ผมเอาคาถาเงินล้านมาแจกครับ... ซึ่งประวัติความเป็นมานั้นมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค...หลวงพ่อปานได้คาถานี้มาจาก พระธุดงค์...ซึ่งพระธุดงค์บอกว่าเป็นคาถาของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า... คาถานี้ก็ได้สืบทอดมาสู่พระลูกศิษย์ คือ พลวงพ่อฤาษีลิงดำ...




ตั้ง นะโม 3 จบ

นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา  วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้เร็วขึ้น)
เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา

หลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้โดยตรงจากองค์สมเด็จฯ(องค์ปฐม)ตั้งแต่ปี 2517 เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่า คาถาที่ได้จากกรรมฐาน เขาจะไม่บอกใคร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 เวลา 23.59 น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลาน และพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุง จะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี 2532 จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัท และลูกหลานของหลวงพ่อ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

คาถา"นาสังสิโม" หลวงพ่อให้ท่องเพิ่มเติมเมื่อปี 2532
คาถา"เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พฤศจิกายน 2533 เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็น"คาถามหาลาภ" มีผลยิ่งใหญ่มาก......

ที่มา : http://www.dhammakaya.org

สามารถสวดได้ตลอดเวลา ยิ่งเอาเป็นบททำสมาธิยิ่งได้ผลดี...

ขอให้รวยๆกันทุกคนนะครับ ^^


By Yutth with No comments

คิดบวกเพื่อความสำเร็จ

                          จั่วหัวเรื่อง...หลายๆท่านก็คงได้ยินมาเยอะเกี่ยวกับการคิดบวก... ดูแล้วอาจะเป็นเรื่องปกติหรือเชยๆ แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้ถูกทำให้ดูมีรูปธรรมมากยิ่งขึ้น...
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 นักเขียนเกี่ยวกับความสำเร็จที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ได้พูดถึงพลังความคิดที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยมีวิลเลียม  วอลเกอร์ แอตคินสัน เป็นหัวเรือใหญ่ หนังสือเรื่อง Thought Vibration or the Law of Attraction in the Thought World ของเขามีใจความสำคัญว่า พลังความคิดของมนุษย์ส่งผลอย่างยิ่งต่อจิตใจ และเป็นตัวกำหนดสถานการณ์แวดล้อมรอบตัว ความคิดในแง่บวกส่งผลให้จิตใจมั่นคงต่อเป้าหมายและดึงดูดความสำเร็จมาให้ และเขาเรียกว่า "กฎแห่งแรงดึงดูด" (Law of Attraction)

ลองอ่านหนังสือประเภทนี้ดูนะครับ...จะทำให้เพื่อนๆมีไฟในการทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ...

By Yutth with No comments

คำไหว้พระจุฬามณี - เพลงเพราะๆฟังก่อนนอน

ขอฝากเพลงธรรมะ เพื่อเจริญสตินะครับ... ฟังเบาๆก่อนนอน...ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ

By Yutth with No comments

ศาสตร์ลับเดอะซีเคร็ต นำความสำเร็จ

                  สวัสดีครับ... เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน หลายๆท่านคงได้รู้จักกับหนังสือ เดอะซีเคร็ต ซึ่งโด่งดังอย่างมาก ติดอันดับหนังสือขายดีทั่วโลก... ถ้าใครยังไม่เคยได้อ่านหรือสัมผัส เดี๋ยวผมจะมาสรุปคร่าวๆให้ได้อ่านกันครับ...

เมื่อความคิดเกิดขึ้นจะมีคลื่นความถี่และแรงดึงดูดกระจายออกมา และจดึงคลื่นความคิดที่มีความถี่ตรงกันเข้าหากัน...ซึ่งก็คือการดึงดูดโอกาสต่างๆ ที่ทำให้เราสำเร็จกันครับ....โดยมีเคล็ดลับ 3 ข้อหลักๆ ดังนี้....

1.ขอ : ขอในสิ่งที่เราต้องการจากจักรวาลโดยให้คิดหรือระบุลักษณะอย่างละเอียดเห็นเป็นภาพเลยครับ
2. เชื่อ : คือการสร้างศรัทธาขึ้นอย่างไม่มีเคลือบแคลงใจว่าเราจะได้สิ่งเหล่านั้นแน่นอน
3. รับ : คือการคิดรู้สึกว่าได้รับสิ่งๆนั้นมาเรียบร้อยแล้ว มีความรู้สึกภูมิใจ มีความสุขว่าสิ่งนั้นปรากฏ ชัด

มีหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จโดยใช้หลักการอันแน่วแน่นี้...

ลองคิดเล่นๆนะครับ...เอาแบบที่เคยผ่านมาของตนเองมีอะไรบ้างได้มาแบบ ฟลุคๆ ... เคยมั้ยที่คิดจดจ่อตอนไปห้างสรรพสินค้า แล้วจดจ่อคิดแต่เรื่องที่จอดรถ...พอมาถึงห้างสรรพสินค้าก็บังเอิญเห็นรถออกจากที่จอดพอดีเลย...นี่ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งของกฏแห่งแรงดึงดูด... ถ้าเราคิดสิ่งใดแบบจดจ่อ รับรองจะเป็นแรงดึงดูดมหาศาลที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จครับ...


ลองไปหาหนังสือมาอ่านดูนะครับ เดี๋ยวนี้เห็นเขียนแนวนี้มากมาย รับรองอ่านแล้วมีไฟกันทุกคนครับ... ขอให้ทุกท่านพบความสำเร็จนะครับ

By Yutth with No comments

คนดังฝั่งตะวันตกที่ศรัทธาพระพุทธศาสนา

                พอกล่าวถึงฝรั่ง...ฝรั่งที่หมายถึงคนนะครับ ไม่ใช่ผลไม้...หรือชาวตะวันตกนั่นแหละครับ... ส่วนใหญ่คนไทยเราก็มักจะคิดไปถึงความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความทันสมัย บางคนถึงขั้นมองฝรั่งเป็นเทวดาไปเลยก็มี... และถ้าเขาเหล่านั้นมาทำอะไรในแบบของเรา หรือศรัทธาในศาสนาของเราก็อดที่จะปลื้มใจไม่ได้...ทั้งๆที่ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เป็นสากลที่สุดแล้ว...เพราะอะไร?
               ถ้าจะกล่าวถึงนักวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงโลกมากที่สุด ก็คงไม่พ้น อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์... แล้วทำไมต้องกล่าวถึง ไอน์สไตน์...อืม...ก็ไม่กล่าวก็คงไม่ได้ เพราะโลกปัจจุบัน พอจะกล่าวอะไรขึ้นมาก็ต้อง ยิ่งถ้าพิสูจน์ให้เห็นกับตาก็ว่างมงายไป... ก็เลยต้องเอานักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกนี่แหละมาอ้างอิง...
               ไอน์สไตน์กล่าวเรื่อง วิทยาศาสตร์กับศาสนาไว้ว่า "ศาสนาในอนาคต จะเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล เป็นศาสนาที่ข้ามพ้นเรื่องเทพเจ้าหรือพระเจ้า และหลีกเลี่ยงความเชื่อศรัทธาแบบหัวรุนแรงโดยไม่พิสูจน์ ซึ่งพระพุทธศาสนาให้คำตอบในสิ่งนี้"

                ต่อไปจะขอกล่าวถึงบุคคลชื่อดังที่ให้ความศรัทธาในพระพุทธศาสนากันนะครับ...

1. ริชาร์ด  เกียร์
                เขาเป็นนักแสดงที่เริ่มต้นอาชีพในปี 1970 เขาเคยได้รับรางวัล David di Donatello Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม  เขาได้พบกับพระพุทธศาสนาในการเดินทางไปประเทศเนปาลเมื่อ พ.ศ. 2521 เขารู้สึกซาบซึ้งในวิถีปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา และเขาก็น้อมรับเข้าสู่จิตใจและหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และเขาเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทในการปลดปล่อยธิเบตจากจีน...

Photo from : http://www.inquisitr.com


2. โรแบร์โต บัจโจ
               เขาเป็นนักกีฬาฟุตบอลชาวอิตาลี ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่อิตาลีเคยมีมา หลังจากเขาต้องมีอาการบาดเจ็บเข่าข้างขวาในปี พ.ศ. 2530 และได้รับการผ่าตัด จนไม่สามารถลงเล่นได้เลยนานถึง 2 ปี ... ในช่วงเวลานั้นทำให้เขามีอารมณ์รุนแรง หงุดหงิดง่าย จนกระทั่งเพื่อนสนิทของเขาแนะนำให้ลองสวดมนต์...ซึ่งผลทำให้เขาใจเย็นและรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ทำให้เขาหันมาศึกษาพระพุทธศาสนามากขึ้น และเข้าใจถึงกฏแห่งกรรม ที่ส่งผลกระทบกับเขา...เขายึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างมากและเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่อีกด้วย...


3. ออร์แลนโด  บลูม
              เขาโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ก่อนที่เขาจะโด่งดังเขาเคยพบกับความทุกข์กายและใจอย่างแสนสาหัสมาก่อน...เขาเผยว่าตอนอายุ 13 ปี เขาพบว่าพ่อที่เลี้ยงดูเขา ไม่ใช่พ่อที่แท้จริง...และเขาเคยตกจากชั้น 3 บาดเจ็บสาหัสที่หลัง....และระหว่างที่เขาโด่งดังเขาก็เอาชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับของมึนเมา
              แต่แล้วความทุกข์ต่างๆก็หายไปเพราะเขาได้พบกับพระพุทธศาสนา  เขากล่าวว่า "หลักพุทธปรัชญา มีความร่วมสมัยกับสถานการณ์ปัจจุบันมาก และเป็นหนทางของความสงบอย่างแท้จริง"
              ปัจจุบัน เขายังใช้หลักการเจริญสติในชีวิตประจำวัน รวมทั้งร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการแต่งตั้งเป็นฑูตขององค์การยูนิเซฟตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552
                                       Photo from : http://sookiestackhouse.com


4. ทีน่า  เทอร์เนอร์
              ราชินีเพลงร็อคแอนด์โรล...ทีน่าได้น้อมรับพระพุทธศานาตั้งแต่เข้าวงการดนตรีได้ไม่นาน เธอได้เล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเธอว่า เบื้องหลังความสำเร็จในฐานะศิลปิน เธอถูกคนรักทำร้ายร้ายร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัสมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ร่วมกัน... และเธอได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยกินยานอนหลับกว่า 90 เม็ด...แต่เธอได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลและรอดชีวิตมาได้ หลังจากนั้นเธอก็ได้รับคำแนะนำให้รู้จักศาสนาพุทธ นิกายนิชิเรนโชชู ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอ
              เรื่องของเธอได้ถูกถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม และได้สร้างแรงบันดาลใจให้หลายๆคนหันมาศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น...ทุกวันนี้เธอยังปฏิบัติสมาธิและสวดมนต์ และได้พบกับความสงบสุขจวบจนวันนี้
Photo from : http://www.billboard.com

5. แฮร์ริสัน ฟอร์ด
             เขาโด่งดังจากบทบาท Han Solo ใน Star Wars และบทบาทนำใน Indiana Jones ทุกภาค และได้รับรางวัล People's Choice ในปี 2542 ... เขาเป็นแกนนำจิตอาสาที่ระดมทุนเพื่อสนับสนุนการเดินทางขององค์ ทะไลลามะในการจาริกมาในอเมริกา เพื่อบรรยายธรรม... และเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อปลดปล่อยทิเบตจากจีนเสมอมา...

Photo from : http://www.forbes.com/






และนี่ก็เป็นบุคคลบางส่วนที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และมีอีกมายที่ไม่ได้กล่าวมานี้... การที่เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องที่โชคดีมาก... ยังไงก็ขอให้ทุกท่านประสบพบความสุขนะครับ...




             

By Yutth with No comments

การอุบัติของพระพุทธเจ้า

   


           บทความแรกก็ต้องเริ่มต้นจริงๆนะครับ เอาแบบต้นกำเนิดของพระพุทธองค์กันเลย... หลายๆท่านอาจจะมีคำถาม ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน...หรือมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร...ซึ่งถ้าคิดเองคงคิดไม่ได้แน่...พระพุทธองค์เคยบอกว่าเรื่องแบบนี้ล้วนเป็นเรื่อง อจินไตย... แล้วอจินไตยคืออะไรกันน๊อ... ผมไปค้นมาให้แล้ว จาก สารานุกรมเสรี http://th.wikipedia.org

อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
  • พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
  • ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน
  • กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม
  • โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลก
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้าง เพราะฉะนั้นแล้วจะคิดไปให้มึนกันทำไมกันจริงมั้ยครับ...  แต่ก็ไม่วายก็มีคำถามพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาได้อย่างไร.... โอ้วว... ยากที่จะคิดจริงๆ... 
ผมจะยกบทความจากหนังสือ "แกะรอยพระพุทธเจ้า" ผู้เขียน ดวงใจ  มหาพัฒนากุล....
ในสมัยพุทธกาล ได้มีเหล่าพระภิกษุทูลถามพระพุทะเจ้าว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติขึ้น (คำว่าทั้งหลาย ก็แสดงว่ามีหลายพระองค์มาแล้ว เดี๋ยวบทความต่อๆไปผมจะกล่าวถึงองค์พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆนะครับ)  พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสตอบว่า เพราะชาติ ชรา มรณะ หรือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นทุกข์ที่มนุษย์โลกทุกคนต้องประสบและไม่อาจหลีกหนีพ้นได้ เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องมาอุบัติขึ้นบนโลก เพื่อที่พระองค์จะช่วยเหล่าสัตว์โลกทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์
การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านี่ ง่ายหรือยาก ลองมาดูกันครับ... เอาความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ก่อนนะครับ ... การกำเนิดของมนุษย์ยากแสนเข็ญยิ่งนัก อุปมาเหมือนมีเต่าตัวหนึ่งในทะเลลึก และมีห่วงอันหนึ่งลอยเคว้งคว้างกลางทะเล ลอยแบบไม่มีจุดหมายนะครับ... ซึ่งทุกๆ 100 ปี เต่าตัวนี้จะโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ 1 ครั้ง เพื่อจะให้หัวของมันสวมกับห่วงดังกล่าว... ลองคิดดูนะครับ มันยากแค่ไหน เพราะเหมือนเดาสุ่มเลยก็ว่าได้ โอกาสที่จะหัวสอดพอดีกับห่วง ก็คิดไปได้เลยว่า โอกาสเป็นศูนย์...
แล้วการอุบัติของพระพุทธองค์หล่ะ...ไม่ต้องไปคิดเลยครับ เพราะยากยิ่งกว่านั้นอีกไม่รู้กี่เท่าสุดแสนจะประมาณ... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอุบัติขึ้น ยากยิ่งนัก" 
ท่านที่อ่านมาแล้ว...คงพอเข้าใจนะครับว่าผมจะสื่อถึงอะไร... ผมกำลังสื่อว่าโอกาสเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยาก แต่เราก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กันแล้ว ก็ควรจะไม่ประมาทในชีวิต...ถ้าเราเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม ซึ่งถ้าเราทำไม่ดีก็ย่อมกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งแน่นอน...

ก่อนจบบทความ ขอขอบคุณภาพสวยๆจากภาพยนต์การ์ตูนเรื่อง พระพุทธเจ้า... 

By Yutth with No comments

จุดกำเนิด จิตศรัทธาบล็อก

         

           วันนี้วันที่ 22 เมษายน 2555 วันแรกของบล็อกนี้... เนื่องจาก Blogger ก็คือตัวผู้เขียนเองนี่แหละครับ... ก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็ร่วม 30 ปีแล้ว... ก็พอจะผ่านประสบการณ์ดีๆมามากมายพอสมควร... การที่จะเก็บสิ่งดีๆไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว มันก็จะดูเห็นแก่ตัวไปนิด... ที่จริงแล้วผมอยากจะเขียนบล็อกประเภทนี้มานานแล้ว (ประมาณ 3 ปีที่แล้ว)  แต่เนื่องด้วยความที่ผลัดวันประกันพรุ่ง ทำให้ไม่ได้เขียนขึ้นมา... บล็อกจิตศรัทธานี้ ผมจะพยายามเขียนจากประสบการณ์และการได้อ่านหนังสือ หรือการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ... รายละเอียดโดยมากจะกล่าวเกี่ยวกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา, วิทยาศาสตร์เชิงพุทธศาสนา, สถานที่ทำบุญ, ประวัติหลวงพ่อองค์ต่างๆ, หลักการทำบุญต่างๆ รวมถึงเรื่อง How to success ที่มีหนังสือเขียนออกมามากมายซึ่งผมก็อ่านมามากพอสมควร (ตอนนี้ยังไม่สำเร็จนะครับ ha ha ha)  และอีกมากมายตามอารมณ์ของผมเองนี่แหละครับ...

          จุดประสงค์ของผมคือมีความหวังให้บทความต่างๆ ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน ไม่ว่าจะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และทำตนให้มีเป้าหมายมากยิ่งขึ้น...จุดเล็กๆจุดนี้ อาจจะมีประโยชน์ต่อท่านที่ได้อ่านนะครับ... ทั้งนี้ก่อนจะจบบทความแรกนี้... บทความทั้งหมดที่ผมจะเขียนผมจะบอกแหล่งที่มาเสมอนะครับ ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง...เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เกิดความเชื่อและศรัทธาอย่างแท้จริง...ขอบคุณมากครับ...

By Yutth with No comments

สมดุลโลก...

         เปลี่ยนแนวมาทางพุทธศาสนากันบ้างนะครับ... ผมบังเอิญได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า " ผลบุญคือกำลังชีวิต สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม" เขียนโดยพระภาสกร  ภูริวัฑฒโน ...ตอนแรกเห็นหน้าปก บอกตรงๆว่าจะหยิบมาอ่านดีมั้ยน๊อ... ดูแล้วเหมือนจะเป็นทฤษฎีธรรมล้วนๆ... แต่ผิดถนัดเลยครับ... เนื้อหาเป็นแบบวิทยาศาสตร์เนื้อหาชวนอ่านและน่าติดตามจนวางไม่ลงเลยครับ...
        บทความนี้ ผมจะยกเอาเรื่องสมดุลโลกมากล่าวคร่าวๆนะครับ... ส่วนสมดุลใจ และสมดุลธรรม ท่านลองไปหาซื้อมาอ่านกันเลยนะครับ...เล่มบางๆประมาณ 120 หน้าเท่านั้น... อ่านจบแล้วท่านจะเข้าใจ กฏแห่งกรรม มากยิ่งขึ้น เพราะทุกอย่างล้วนสมดุล...มีแรงใดกระทำไปก็มีแรงกลับมาเช่นกัน...
       สมดุลโลกกล่าวไว้ว่า เมื่อเรากระทำให้อะไรออกไปที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก ก็ย่อมได้ผลเช่นนั้นกลับมาเหมือนกัน...เคยมั้ยบางครั้งรู้สึกดวงซวย หรือบางครั้งก็ เฮง...เป็นไปได้มั้ยที่ก่อนหน้านั้น หมายถึงชาติที่แล้วเราเคยกระทำอะไรบางอย่างและมีผลมาเกิดขึ้นในปัจจุบัน...
       สมมุติว่าพรุ่งนี้เป็นวันตายของเรา...แล้วสิ่งที่เราทำไปทั้งดีและชั่วจะให้ผลยังไงกันหล่ะ... ถ้าทฤษฎีสมดุลโลกเป็นจริง ก็ย่อมให้ผลหลังความตาย...นี่ก็หมายถึงว่า เรามีชาติต่อๆไปใช่หรือไม่... เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งใดที่เราทำแก่โลกมาก เราก็จะได้กลับมามากเช่นกัน... เพราะฉะนั้นแล้ว จงเชื่อมั่นในความดีที่เราได้กระทำลงไป อย่าเฝ้ารอโชควาสนา เพราะทุกอย่างการกระทำของเราได้กำหนดเส้นทางไว้แล้ว... ขอให้ทุกท่านมีความสุขกันนะครับ...ขอบคุณครับที่อ่านบทความนี้...

Dr.Mel Gill - The Meta Secret, WoodyTalk (CH9) - 27 Mar 2011

                  วันนี้ก็ขอเอา Link youtube มา share เหมือนเดิมอีกครั้งนะครับ... เป็นการสัมภาษณ์สด Dr. Mel Gill ในรายการ Woody Talk ก็ผ่านมากว่า 1 ปีแล้วครับ... แต่ผมว่าหลายๆท่านคงไม่ได้รับชมกัน... เชิญชมได้เลยครับ... Meta Secret หนังสือเล่มนี้ น่าสนใจจริงๆ...

Movie Trailer - The Meta Secret : จุดเริ่มต้นของความลับเหนือโลก

                  วันนี้ผมได้เอา Link จาก youtube มาให้ได้ชมกันนะครับ...ดูเป็น Movie กันไปเลย...ดูแล้วสงสัยจะพากันรีบไปหาซื้อหนังสือกันหล่ะคราวนี้... นี่เป็นไตเติลของเรื่องที่เขาได้ค้นพบความลับทั้งหมด 7 ข้อ...มีอะไรบ้างก็ลองไปหามาอ่านนะครับ...แต่ถ้าอยากรู้เดี๋ยวผมอาจจะค่อยๆลงให้อ่านกัน...เอาเป็นว่าเราไปดูวีดีโอกันเลยนะครับ... ^^




ความลับเหนือโลก ในมุม "ดร.เมล กิลล์" The Meta Secret


ความลับเหนือโลก ในมุม 'ดร.เมล กิลล์'
โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

             วันนี้อาจจะได้อ่านยาวนะครับ... แต่สำหรับท่านที่ต้องการความสำเร็จ ผมว่าเนื้อหามันสั้นไปนิดนึง... ดร.เมล  กิลล์ คือใคร? หลายท่านอาจะถาม แต่ที่แน่ๆเขาเคยตายมาแล้ว 19 นาที... คำว่าตายนี้ หมายถึงคำวินิจฉัยของแพทย์นะครับ ไม่ใช่เดาเอา...แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่แท้จริงแล้วนั้น เขาเดินทางไปยังชีวิตหลังความตาย... สุดยอดเลยใช่มั้ยครับ...เขาได้เอาความลับเหนือโลก มาเผยแพร่ให้พวกเราได้รับรู้... แค่เกริ่นมา ผมเองยังขนลุกไม่หาย... ยังก็หลังจากอ่านบทความนี้แล้วก็ลองไป อ่านหนังสือเล่มเต็มๆกันดูนะครับ... แล้วท่านอาจจะพบกับสิ่งดีๆ ที่เปลี่ยนชีวิตของท่านก็ได้...

เขาเป็นนักพูดสร้างแรงจูงใจ นักจิตบำบัด และนักเขียน มีคนบอกว่าเขารู้ความลับเหนือโลกในช่วงเวลาหลังความตาย19นาที อะไรคือความลับที่เขาล่วงรู้..

“สิ่งที่ผมค้นพบ ก็คือ ความจริงที่มีอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ค้นพบความจริง และกฎ 7 ข้อที่ผมค้นพบ ถ้านำมาใช้กับชีวิต จะทำให้เรามีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ก็ต้องระวัง” ดร.เมล กิลล์ เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
 หลายคนคงได้ยินข่าวคราวและชื่อเสียงของเขาอยู่บ้าง เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีได้เปิดตัวหนังสือ สุดยอดเดอะซีเคร็ต เขียนโดยดร.เมล กิลล์ นักจิตบำบัดและนักพัฒนามนุษย์ ที่ได้รับเชิญไปบรรยายกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษาของซีอีโอกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง
 นอกจากเดินทางมาเปิดตัวหนังสือ ยังมี "ดินเนอร์ทอล์ค" ที่นักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยให้ความสนใจ ใน "ความลับ" ที่เขาเอามาแบ่งปัน

Photo from : http://www.squidoo.com

1.
 หากตั้งคำถามว่า ทำไมมนุษย์พยายามค้นหาความลับของจักรวาล ในความคิดเห็นของดร.เมล กิลล์ มองว่า สิ่งที่เขาค้นพบเป็นเรื่องธรรมดาๆ ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คุณมีสิทธิที่จะมีความสุข ทั้งหมดอยู่ที่ความคิดและความเชื่อ
 สิ่งที่เปลี่ยนวิธีคิดของเขาทั้งชีวิต คือ ความตายในช่วงเวลา 19 นาที เขาโดนตัดแขนซ้าย เนื่องจากตอนอายุ 19 ปีเขาเดินทางไปปีนเขาที่มาเลเซียและประสบอุบัติเหตุตกเขา แขนหัก บอบช้ำมาก ได้เพื่อนๆ ช่วยกันแบกออกมาจากป่า แล้วเดินทางมารักษาตัวที่สิงคโปร์
 "ตอนนั้นหัวหมุนไปหมด เจ็บปวดมาก จนไม่รู้จะบอกยังไง ตอนผ่าตัดผมเห็นทุกอย่าง เห็นหมอและพ่อแม่กำลังร้องไห้ พวกเขาตัดแขนซ้ายผมบริเวณเหนือข้อศอก เพื่อสกัดเนื้อตายเน่าที่ลุกลาม ผมตายแล้ว ตับไตไม่ทำงาน รู้สึกเหมือนตัวเองลอยขึ้นไปสู่เพดาน เห็นเหมือนอุโมงค์แสงสว่าง และเห็นคนๆ หนึ่งบอกผมว่า คุณต้องกลับไปนะ”
 19 นาทีที่ตายไปแล้ว และฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ดร.เมลเปลี่ยนวิธีคิดและการใช้ชีวิต เพราะได้เรียนรู้บางอย่าง
 "มิติหลังความตายในช่วง 19 นาที ทำให้ผมเปลี่ยนไป ผมยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง ตอนผมอายุเจ็ดขวบ มีเพื่อนอายุ 9 ปีเกเรมาก ผมก็เลยผลักเพื่อนคนนั้นตกบันไดเลือดไหล ความทรงจำอีกด้านหนึ่งของผมบอกว่า เลือดของเพื่อนคนนั้นอยู่ในตัวผมด้วย เหมือนผมเป็นคนที่เจ็บปวด สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือ การกระทำของเราแม้จะเล็กน้อย แต่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตคนอื่นได้ แทนที่เด็กคนนั้นจะเติบโตเป็นหมอ ปรากฎว่าเปลี่ยนมาเป็นพระ”
 เรื่องที่ดร.เมล เล่าให้ฟัง คงต้องมองในเชิงนามธรรม เพราะเสี้ยววินาทีแห่งความตายในวัยหนุ่ม ทำให้เขาได้ค้นหาความหมายของชีวิตเป็นเวลา 40 ปี เขาเรียนจบปริญญาเอกด้านจิตบำบัด ทำงานให้คำปรึกษาบุคคล และเป็นที่ปรึกษาผู้บริหารระดับสูง รวมถึงจัดรายการวิทยุ เขียนหนังสือด้านจิตวิทยากว่า 60 เล่ม กำกับและสร้างภาพยนตร์ "สุดยอดเดอะซีเคร็ต"


2.

 ความจริงที่ศาสดาหลายศาสนาค้นพบบนโลกใบนี้ ใช่ว่า...ทุกคนจะเข้าถึงได้ง่ายๆ จึงมีคนพยายามไขความลับของจักรวาล เรื่องนี้ ดร.เมล กิลล์ มองว่า ความจริงเหล่านี้มีอยู่บนโลก แต่คนเข้าไม่ถึงเท่านั้นเอง
 “คนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย ไม่ใช่ผมคนเดียว ยังมีผู้ป่วยที่ใกล้ตายจำนวนมาก เหมือนเสียชีวิตไปแล้ว แต่แพทย์ดึงกลับมาได้ ผมไม่อาจบอกได้ว่า สิ่งที่ผมค้นพบเป็นแนวคิดพุทธ คริสต์หรือฮินดู แต่เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ธรรมชาติทั้งคน ต้นไม้ ดอกไม้” 
  ใช่ว่า...ชีวิตหลังความตายไม่กี่นาทีจะเปลี่ยนเขาในทันที เขาต้องค้นหา จึงเป็นทั้งนักเดินทาง นักอ่านตัวยง อ่านแม้กระทั่งปรัชญาเฮอร์เมติกของชาวอียิปต์โบราณ กฎฟิสิกส์ ธุรกิจ ปรัชญาและจิตวิทยา ฯลฯ และมีบางช่วงเขาก็ไม่ต่างจากคนอื่น ท้อแท้ สิ้นหวัง กลายเป็นคนพิการ สูญเสียครอบครัว เพื่อนและธุรกิจ
 “ผมไม่ได้นับถือศาสนาใด ผมมีความเชื่อว่า เราทุกคนเป็นพี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกัน ผมมั่นใจว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พุทธ พระองค์ไม่ได้ให้ใครมานับถือตัวตน แต่ให้นับถือสิ่งที่ตรัสรู้หรือแนวทางปฎิบัติ พระองค์ไม่ได้สนใจว่าเป็นพุทธหรือไม่“
 กว่า 40 ปีที่ดร.เมล เดินทางไปพบครูบาอาจารย์ทุกศาสนา เพื่อเรียนรู้ชีวิตทั้งฮินดู พุทธ อิสลาม และอ่านหนังสือทุกศาสนา จึงไม่แปลกที่บ้านของเขาที่ชิคาโกและสิงคโปร์มีหนังสือมากมาย
 "ผมเชื่องช้าในการเรียนรู้จึงใช้เวลานาน ที่ผ่านมาผมเขียนหนังสือจิตวิทยากว่า 64 เล่ม และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาความทรงจำในช่วง 19 นาทีผมชัดเจนมาก จึงนำมาเขียนหนังสือ หากใครพูดถึงบิดาแห่งจิตวิทยา ผมขอยกย่องพระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่งของโลก”
 แม้เขาจะหย่าขาดจากภรรยา และมีลูก 2 คน เขาบอกว่า ไม่ได้คิดว่าชีวิตการแต่งงานล้มเหลว เขากลายเป็นที่ปรึกษาให้ภรรยาและสามีใหม่ของเธอ เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชีวิตลูกๆ ก็จะราบรื่นไปด้วย
 "ผมมีหน้าที่ทำให้ทุกคนมีความสุข เมื่อภรรยาไม่มีความสุขที่จะอยู่กับผม อยากกลับไปหาคนรักสมัยมัธยม ผมก็ขับรถพาไป สำหรับผมแล้วความรักที่แท้จริง ต้องไม่ใช่การผูกมัดหรือเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน ชีวิตผมที่ผ่านมาธรรมดามาก มีลูกก็ใช่ว่าเขาจะฟังผม ” ดร.เมล ยิ้มระหว่างตอบคำถาม


3.
 สิ่งที่ดร.เมล กิลล์ อยากบอกเล่า เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่มนุษย์มองข้าม เขายกตัวอย่าง กฎ 7 ประการที่เขาค้นพบ อาทิ  กฎมโนนิยม กฎแห่งความสั่นสะเทือน กฎแห่งเพศ กฎแห่งขั้วตรงข้าม ฯลฯ อย่างกฎมโนนิยม เป็นเรื่องใจหรือจิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจเราทั้งนั้น จึงต้องฝึกจิตใจให้สงบเพื่อรับกับสถานการณ์
 "จำได้ว่า เมื่อก่อนผมสวดมนต์ จะอธิษฐานขอนั่นนี่  ตอนนี้ผมไม่ทำอย่างนั้นแล้ว”
 ทำไมไม่อธิษฐานขอพรเหมือนเดิม เขาเล่าเรื่องสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชให้ฟังว่า พระองค์เสด็จไปที่วัดแห่งหนึ่งที่มีคนสวดมนต์อธิษฐานขอพร ระหว่างนั้นพระสงฆ์ในวัดเดินออกมา เมื่อเห็นพระองค์กลับเดินหนี 
 พระเจ้าอโศกฯ ถามพระสงฆ์ว่า “ทำไมเดินหนีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่”
 พระสงฆ์ตอบว่า “มีคนปลุกให้พระลุกจากสมาธิ เพราะมีมหาราชผู้ยิ่งใหญ่เดินทางมา แต่เมื่อเดินออกมา แทนที่จะเห็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ กลับเห็นขอทานนั่งขอนั่นขอนี่”
 เขายกตัวอย่างกฎอีกข้อคือ กฎแห่งการดึงดูด ถ้าเราดึงสิ่งใดเข้ามาสู่ตัวเรา แม้จะง่ายที่ใครสักคนมารักเราหรือแต่งงานด้วย แต่สิ่งยากที่สุดคือ การกำจัดบางอย่างออกไปจากชีวิต ต้องระวังให้ชีวิตเกิดความสมดุล  หรือกฎแห่งการสั่นสะเทือน ถ้าเราอยู่ใกล้ใคร เราก็จะเป็นอย่างนั้น
 "ถ้าคุณนำผ้าเช็ดหน้าไปวางไว้บนดอกกุหลาบ ก็จะมีกลิ่นดอกกุหลาบ ถ้าวางในกองมูลวัว ก็จะมีกลิ่นอย่างนั้น ถ้าเราเอาความคิดและจิตใจไปไว้ตรงไหน ก็จะกลายสภาพเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ผมพยายามทำคือ รักษาความสงบของจิตใจ เพราะใจของเราจะส่งพลังงานออกไปข้างนอก
ไม่ว่าผมจะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายขนาดไหน ผมก็สามารถอยู่ตรงนั้นได้อย่างมีความสุข ”
 ว่าไปแล้ว ชีวิตของเขาไม่ได้เริ่มจากการเป็นนักพูดที่มีคนฟังมากมาย แต่เริ่มจากการให้คำปรึกษาคนในครอบครัว เพื่อนและขยายวงไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันเขาเป็นนักพูดที่สร้างแรงจูงใจในหลายประเทศ ทั้งอเมริกา สิงคโปร์และญี่ปุ่น ฯลฯ
 “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครูของผม ผมนั่งอยู่ในห้องนี้ เห็นต้นไม้ก็เห็นฤดูของชีวิต เพราะเราเรียนรู้ตลอดเวลา”


4.
 ดร.เมล สอนผู้คนในหลายประเทศกว่า 34 ปี กฎของจักรวาลอีกข้อที่เขาได้เรียนรู้ก็คือ  “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเป็นเช่นนั้นเอง”
 "ผมไม่ได้มาสอนอะไร แค่มาเตือนหรือตอกย้ำความจริง เรารู้อยู่แล้ว แต่เราลืมสิ่งที่เป็นความจริง ผมขออ้างคำสอนว่า พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะไม่ได้นำธรรมะที่เป็นคำพูดมาเผยแพร่ แต่จะสอนโดยไม่ใช้คำพูด ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น เวลาผมไปพูดในประเทศต่างๆ ผมพยายามอิงกับศาสนาประเทศนั้น เพื่อให้คนเข้าใจได้ง่าย อย่างในประเทศบัลแกเรีย คนส่วนใหญ่ไม่นับถือศาสนา แต่ใช้สามัญสำนึก ผมก็ใช้กฎขั้วตรงข้าม แทนที่จะเปรียบเทียบกับคนที่รวยกว่า ก็เปรียบเทียบกับคนที่จนกว่า”
 เขาย้ำอีกว่า ความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว อยู่ในจิตใต้สำนึก ชีวิตคนเราสั้นมาก เราควรสนุกกับชีวิตในทุกขั้นตอน
 “ผมคิดตลอดเวลาว่า พรุ่งนี้ผมจะตายแล้ว อะไรที่ยังไม่ได้ทำผมพยายามทำในปีนี้ ผมวางแผนว่า จะเขียนหนังสือหรือทำไฟล์เสียง 250 เรื่อง ผมกำลังจะสร้างหนังเรื่องใหม่ ในออฟฟิศผมจะเขียนไว้ว่า “we are one”( เราเป็นหนึ่งเดียวกัน) ถ้าเราสามารถอ่านความคิดหรือเข้าใจคนอื่นได้ ก็จะรู้ว่า เราต่างมีความทุกข์และความเครียดเหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจก็จะให้อภัยคนอื่นได้”
 เรื่องนี้มีคำอธิบายต่อว่า มนุษย์เรามีความต้องการที่อันตราย 7 ข้อ ข้อหนึ่ง คือ ความต้องการเอาคืน ถ้าใครทำให้เราเจ็บใจหรือเสียใจ เรามักจะเอาคืน ยกตัวอย่างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีคนมาด่าว่าเรา เราฝังใจ คิดอยู่เสมอว่าถ้ามีโอกาสจะเอาคืน
 "นั่น...ทำให้เราไม่มีความสุข แต่ถ้าเราเข้าใจว่า เราต่างเป็นหนึ่งเดียวกัน ในเรามีเขา ในเขามีเรา ก็จะเข้าใจความทุกข์ของคนอื่น"


5.
 คงไม่บ่อยนักที่จะมีดินเนอร์ทอล์คเพื่อไขปริศนาชีวิต เรื่องที่เขาเล่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ทำไมคนอยากรู้
ดร.เมล เล่าว่า นักจิตบำบัดและนักจิตเวชกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ มีความเชื่อว่า ประชากรในโลกนี้มีความเจ็บปวดด้วยโรคจิตอย่างหนึ่ง บางคนไม่อาจจำแนกได้ว่า อะไรคือจินตนาการ อะไรคือเรื่องจริง  
  “คุณเคยพูดกับตัวเองไหม อย่างน้อย 50,000 ประโยคในแต่ละวันที่เราพูดกับตัวเอง 80 เปอร์เซ็นต์ของการพูดกับตัวเองเป็นเรื่องแง่ลบ ถ้าคุณไม่ชอบในสิ่งที่คุณเป็น คุณเปลี่ยนแปลงได้ คุณต้องหัดชมคนอื่น ถ้าวันไหนไม่ได้รับคำชม คุณควรให้คำชมเชยคนอื่น เพราะการชมคนอื่นง่ายกว่าการชมตัวเอง  ทำไมคนอเมริกันมาแย่งงานคนเอเชียทำ เวลามีคนถามคนอเมริกันว่า คุณเก่งในงานที่ทำหรือไม่ พวกเขาบอกว่า เยี่ยม เพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องการนับถือตัวเอง "
 ระหว่างการพูดบนเวที บางครั้งเขาเปิดโอกาสให้คนฟังยกมือแสดงความเห็น และให้ชื่นชมซึ่งกันและกันในโต๊ะดินเนอร์ เขาย้ำกฎบางข้ออีกว่า  ความสำเร็จ มาจากความคิด และต้องมีความเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย
 ดร.เมล พยายามย้ำเตือนเพื่อให้คนฟังเปลี่ยนแปลงความคิดด้านลบออกจากหัว เพื่อให้มีความรักในชีวิตและร่างกายตัวเองมากขึ้น
 “คนส่วนใหญ่ไม่ชอบร่างกายตัวเอง ชอบให้รูปร่างหน้าตาเหมือนคนอื่น ผู้หญิงพยายามจะดูเหมือนนางแบบ จริงๆ แล้วมีสุดยอดนางแบบ 300 คนทั่วโลก แต่ผู้หญิง 3,000 ล้านคนพยายามจะเป็นแบบนั้น ทั้งๆ ที่สุดยอดนางแบบไม่ใช่สิ่งปกติ คุณปกติอยู่แล้ว”
 เหมือนเช่นที่กล่าว สิ่งที่เขาพูดก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่มนุษย์สามารถทำได้ แต่มนุษย์หลงลืมอะไรบางอย่าง ดร.เมล บอกว่า เขาพยายามบอกตัวเองว่า พรุ่งนี้เขาอาจไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
 "ผมขอบคุณจักรวาลที่ผมยังมีชีวิตอยู่ เพื่อมีโอกาสแก้ปัญหาให้คนอื่น คุณรู้ไหม จิตใต้สำนึกไม่เคยหลับ ถ้าคุณมีโอกาสจูบลูกก่อนนอน หัวใจของเขาจะพองโต เพราะใจได้สัมผัสใจ”
 บางทีความลับของจักรวาลที่เขาค้นพบ ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม, ในตัวของเรานั่นเอง

หวังว่าทุกท่านที่อ่านจนจบ จะได้สิ่งดีๆกลับไปนะครับ... ^^

คาถาเงินล้าน...พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

         วันนี้มาแนวความเชื่อ ความศรัทธาแบบเต็มๆ... ใครใคร่เชื่อ และทำก็ทำนะครับไม่เสียหาย...ใครคิดว่า งมงาย ไม่มีเหตุผลก็ผ่านไปนะครับ... ผมก็แค่แชร์เฉยๆนะครับ...อย่างที่บอกไปครับ ว่าบล็อกนี้จะมาแบบผสมผสาน... แต่ผมก็คิดว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร ข้อดีน่าจะเยอะกว่า....
         ผมเอาคาถาเงินล้านมาแจกครับ... ซึ่งประวัติความเป็นมานั้นมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค...หลวงพ่อปานได้คาถานี้มาจาก พระธุดงค์...ซึ่งพระธุดงค์บอกว่าเป็นคาถาของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า... คาถานี้ก็ได้สืบทอดมาสู่พระลูกศิษย์ คือ พลวงพ่อฤาษีลิงดำ...




ตั้ง นะโม 3 จบ

นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา  วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้เร็วขึ้น)
เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา

หลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้โดยตรงจากองค์สมเด็จฯ(องค์ปฐม)ตั้งแต่ปี 2517 เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่า คาถาที่ได้จากกรรมฐาน เขาจะไม่บอกใคร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 เวลา 23.59 น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลาน และพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุง จะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี 2532 จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัท และลูกหลานของหลวงพ่อ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

คาถา"นาสังสิโม" หลวงพ่อให้ท่องเพิ่มเติมเมื่อปี 2532
คาถา"เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พฤศจิกายน 2533 เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็น"คาถามหาลาภ" มีผลยิ่งใหญ่มาก......

ที่มา : http://www.dhammakaya.org

สามารถสวดได้ตลอดเวลา ยิ่งเอาเป็นบททำสมาธิยิ่งได้ผลดี...

ขอให้รวยๆกันทุกคนนะครับ ^^


คิดบวกเพื่อความสำเร็จ

                          จั่วหัวเรื่อง...หลายๆท่านก็คงได้ยินมาเยอะเกี่ยวกับการคิดบวก... ดูแล้วอาจะเป็นเรื่องปกติหรือเชยๆ แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้ถูกทำให้ดูมีรูปธรรมมากยิ่งขึ้น...
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 นักเขียนเกี่ยวกับความสำเร็จที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ได้พูดถึงพลังความคิดที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยมีวิลเลียม  วอลเกอร์ แอตคินสัน เป็นหัวเรือใหญ่ หนังสือเรื่อง Thought Vibration or the Law of Attraction in the Thought World ของเขามีใจความสำคัญว่า พลังความคิดของมนุษย์ส่งผลอย่างยิ่งต่อจิตใจ และเป็นตัวกำหนดสถานการณ์แวดล้อมรอบตัว ความคิดในแง่บวกส่งผลให้จิตใจมั่นคงต่อเป้าหมายและดึงดูดความสำเร็จมาให้ และเขาเรียกว่า "กฎแห่งแรงดึงดูด" (Law of Attraction)

ลองอ่านหนังสือประเภทนี้ดูนะครับ...จะทำให้เพื่อนๆมีไฟในการทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ...

คำไหว้พระจุฬามณี - เพลงเพราะๆฟังก่อนนอน

ขอฝากเพลงธรรมะ เพื่อเจริญสตินะครับ... ฟังเบาๆก่อนนอน...ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ

ศาสตร์ลับเดอะซีเคร็ต นำความสำเร็จ

                  สวัสดีครับ... เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน หลายๆท่านคงได้รู้จักกับหนังสือ เดอะซีเคร็ต ซึ่งโด่งดังอย่างมาก ติดอันดับหนังสือขายดีทั่วโลก... ถ้าใครยังไม่เคยได้อ่านหรือสัมผัส เดี๋ยวผมจะมาสรุปคร่าวๆให้ได้อ่านกันครับ...

เมื่อความคิดเกิดขึ้นจะมีคลื่นความถี่และแรงดึงดูดกระจายออกมา และจดึงคลื่นความคิดที่มีความถี่ตรงกันเข้าหากัน...ซึ่งก็คือการดึงดูดโอกาสต่างๆ ที่ทำให้เราสำเร็จกันครับ....โดยมีเคล็ดลับ 3 ข้อหลักๆ ดังนี้....

1.ขอ : ขอในสิ่งที่เราต้องการจากจักรวาลโดยให้คิดหรือระบุลักษณะอย่างละเอียดเห็นเป็นภาพเลยครับ
2. เชื่อ : คือการสร้างศรัทธาขึ้นอย่างไม่มีเคลือบแคลงใจว่าเราจะได้สิ่งเหล่านั้นแน่นอน
3. รับ : คือการคิดรู้สึกว่าได้รับสิ่งๆนั้นมาเรียบร้อยแล้ว มีความรู้สึกภูมิใจ มีความสุขว่าสิ่งนั้นปรากฏ ชัด

มีหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จโดยใช้หลักการอันแน่วแน่นี้...

ลองคิดเล่นๆนะครับ...เอาแบบที่เคยผ่านมาของตนเองมีอะไรบ้างได้มาแบบ ฟลุคๆ ... เคยมั้ยที่คิดจดจ่อตอนไปห้างสรรพสินค้า แล้วจดจ่อคิดแต่เรื่องที่จอดรถ...พอมาถึงห้างสรรพสินค้าก็บังเอิญเห็นรถออกจากที่จอดพอดีเลย...นี่ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งของกฏแห่งแรงดึงดูด... ถ้าเราคิดสิ่งใดแบบจดจ่อ รับรองจะเป็นแรงดึงดูดมหาศาลที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จครับ...


ลองไปหาหนังสือมาอ่านดูนะครับ เดี๋ยวนี้เห็นเขียนแนวนี้มากมาย รับรองอ่านแล้วมีไฟกันทุกคนครับ... ขอให้ทุกท่านพบความสำเร็จนะครับ

คนดังฝั่งตะวันตกที่ศรัทธาพระพุทธศาสนา

                พอกล่าวถึงฝรั่ง...ฝรั่งที่หมายถึงคนนะครับ ไม่ใช่ผลไม้...หรือชาวตะวันตกนั่นแหละครับ... ส่วนใหญ่คนไทยเราก็มักจะคิดไปถึงความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความทันสมัย บางคนถึงขั้นมองฝรั่งเป็นเทวดาไปเลยก็มี... และถ้าเขาเหล่านั้นมาทำอะไรในแบบของเรา หรือศรัทธาในศาสนาของเราก็อดที่จะปลื้มใจไม่ได้...ทั้งๆที่ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เป็นสากลที่สุดแล้ว...เพราะอะไร?
               ถ้าจะกล่าวถึงนักวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงโลกมากที่สุด ก็คงไม่พ้น อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์... แล้วทำไมต้องกล่าวถึง ไอน์สไตน์...อืม...ก็ไม่กล่าวก็คงไม่ได้ เพราะโลกปัจจุบัน พอจะกล่าวอะไรขึ้นมาก็ต้อง ยิ่งถ้าพิสูจน์ให้เห็นกับตาก็ว่างมงายไป... ก็เลยต้องเอานักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกนี่แหละมาอ้างอิง...
               ไอน์สไตน์กล่าวเรื่อง วิทยาศาสตร์กับศาสนาไว้ว่า "ศาสนาในอนาคต จะเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล เป็นศาสนาที่ข้ามพ้นเรื่องเทพเจ้าหรือพระเจ้า และหลีกเลี่ยงความเชื่อศรัทธาแบบหัวรุนแรงโดยไม่พิสูจน์ ซึ่งพระพุทธศาสนาให้คำตอบในสิ่งนี้"

                ต่อไปจะขอกล่าวถึงบุคคลชื่อดังที่ให้ความศรัทธาในพระพุทธศาสนากันนะครับ...

1. ริชาร์ด  เกียร์
                เขาเป็นนักแสดงที่เริ่มต้นอาชีพในปี 1970 เขาเคยได้รับรางวัล David di Donatello Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม  เขาได้พบกับพระพุทธศาสนาในการเดินทางไปประเทศเนปาลเมื่อ พ.ศ. 2521 เขารู้สึกซาบซึ้งในวิถีปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา และเขาก็น้อมรับเข้าสู่จิตใจและหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และเขาเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทในการปลดปล่อยธิเบตจากจีน...

Photo from : http://www.inquisitr.com


2. โรแบร์โต บัจโจ
               เขาเป็นนักกีฬาฟุตบอลชาวอิตาลี ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่อิตาลีเคยมีมา หลังจากเขาต้องมีอาการบาดเจ็บเข่าข้างขวาในปี พ.ศ. 2530 และได้รับการผ่าตัด จนไม่สามารถลงเล่นได้เลยนานถึง 2 ปี ... ในช่วงเวลานั้นทำให้เขามีอารมณ์รุนแรง หงุดหงิดง่าย จนกระทั่งเพื่อนสนิทของเขาแนะนำให้ลองสวดมนต์...ซึ่งผลทำให้เขาใจเย็นและรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ทำให้เขาหันมาศึกษาพระพุทธศาสนามากขึ้น และเข้าใจถึงกฏแห่งกรรม ที่ส่งผลกระทบกับเขา...เขายึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างมากและเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่อีกด้วย...


3. ออร์แลนโด  บลูม
              เขาโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ก่อนที่เขาจะโด่งดังเขาเคยพบกับความทุกข์กายและใจอย่างแสนสาหัสมาก่อน...เขาเผยว่าตอนอายุ 13 ปี เขาพบว่าพ่อที่เลี้ยงดูเขา ไม่ใช่พ่อที่แท้จริง...และเขาเคยตกจากชั้น 3 บาดเจ็บสาหัสที่หลัง....และระหว่างที่เขาโด่งดังเขาก็เอาชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับของมึนเมา
              แต่แล้วความทุกข์ต่างๆก็หายไปเพราะเขาได้พบกับพระพุทธศาสนา  เขากล่าวว่า "หลักพุทธปรัชญา มีความร่วมสมัยกับสถานการณ์ปัจจุบันมาก และเป็นหนทางของความสงบอย่างแท้จริง"
              ปัจจุบัน เขายังใช้หลักการเจริญสติในชีวิตประจำวัน รวมทั้งร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการแต่งตั้งเป็นฑูตขององค์การยูนิเซฟตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552
                                       Photo from : http://sookiestackhouse.com


4. ทีน่า  เทอร์เนอร์
              ราชินีเพลงร็อคแอนด์โรล...ทีน่าได้น้อมรับพระพุทธศานาตั้งแต่เข้าวงการดนตรีได้ไม่นาน เธอได้เล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเธอว่า เบื้องหลังความสำเร็จในฐานะศิลปิน เธอถูกคนรักทำร้ายร้ายร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัสมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ร่วมกัน... และเธอได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยกินยานอนหลับกว่า 90 เม็ด...แต่เธอได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลและรอดชีวิตมาได้ หลังจากนั้นเธอก็ได้รับคำแนะนำให้รู้จักศาสนาพุทธ นิกายนิชิเรนโชชู ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอ
              เรื่องของเธอได้ถูกถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม และได้สร้างแรงบันดาลใจให้หลายๆคนหันมาศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น...ทุกวันนี้เธอยังปฏิบัติสมาธิและสวดมนต์ และได้พบกับความสงบสุขจวบจนวันนี้
Photo from : http://www.billboard.com

5. แฮร์ริสัน ฟอร์ด
             เขาโด่งดังจากบทบาท Han Solo ใน Star Wars และบทบาทนำใน Indiana Jones ทุกภาค และได้รับรางวัล People's Choice ในปี 2542 ... เขาเป็นแกนนำจิตอาสาที่ระดมทุนเพื่อสนับสนุนการเดินทางขององค์ ทะไลลามะในการจาริกมาในอเมริกา เพื่อบรรยายธรรม... และเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อปลดปล่อยทิเบตจากจีนเสมอมา...

Photo from : http://www.forbes.com/






และนี่ก็เป็นบุคคลบางส่วนที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และมีอีกมายที่ไม่ได้กล่าวมานี้... การที่เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องที่โชคดีมาก... ยังไงก็ขอให้ทุกท่านประสบพบความสุขนะครับ...




             

การอุบัติของพระพุทธเจ้า

   


           บทความแรกก็ต้องเริ่มต้นจริงๆนะครับ เอาแบบต้นกำเนิดของพระพุทธองค์กันเลย... หลายๆท่านอาจจะมีคำถาม ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน...หรือมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร...ซึ่งถ้าคิดเองคงคิดไม่ได้แน่...พระพุทธองค์เคยบอกว่าเรื่องแบบนี้ล้วนเป็นเรื่อง อจินไตย... แล้วอจินไตยคืออะไรกันน๊อ... ผมไปค้นมาให้แล้ว จาก สารานุกรมเสรี http://th.wikipedia.org

อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
  • พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
  • ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน
  • กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม
  • โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลก
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้าง เพราะฉะนั้นแล้วจะคิดไปให้มึนกันทำไมกันจริงมั้ยครับ...  แต่ก็ไม่วายก็มีคำถามพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาได้อย่างไร.... โอ้วว... ยากที่จะคิดจริงๆ... 
ผมจะยกบทความจากหนังสือ "แกะรอยพระพุทธเจ้า" ผู้เขียน ดวงใจ  มหาพัฒนากุล....
ในสมัยพุทธกาล ได้มีเหล่าพระภิกษุทูลถามพระพุทะเจ้าว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติขึ้น (คำว่าทั้งหลาย ก็แสดงว่ามีหลายพระองค์มาแล้ว เดี๋ยวบทความต่อๆไปผมจะกล่าวถึงองค์พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆนะครับ)  พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสตอบว่า เพราะชาติ ชรา มรณะ หรือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นทุกข์ที่มนุษย์โลกทุกคนต้องประสบและไม่อาจหลีกหนีพ้นได้ เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องมาอุบัติขึ้นบนโลก เพื่อที่พระองค์จะช่วยเหล่าสัตว์โลกทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์
การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านี่ ง่ายหรือยาก ลองมาดูกันครับ... เอาความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ก่อนนะครับ ... การกำเนิดของมนุษย์ยากแสนเข็ญยิ่งนัก อุปมาเหมือนมีเต่าตัวหนึ่งในทะเลลึก และมีห่วงอันหนึ่งลอยเคว้งคว้างกลางทะเล ลอยแบบไม่มีจุดหมายนะครับ... ซึ่งทุกๆ 100 ปี เต่าตัวนี้จะโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ 1 ครั้ง เพื่อจะให้หัวของมันสวมกับห่วงดังกล่าว... ลองคิดดูนะครับ มันยากแค่ไหน เพราะเหมือนเดาสุ่มเลยก็ว่าได้ โอกาสที่จะหัวสอดพอดีกับห่วง ก็คิดไปได้เลยว่า โอกาสเป็นศูนย์...
แล้วการอุบัติของพระพุทธองค์หล่ะ...ไม่ต้องไปคิดเลยครับ เพราะยากยิ่งกว่านั้นอีกไม่รู้กี่เท่าสุดแสนจะประมาณ... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอุบัติขึ้น ยากยิ่งนัก" 
ท่านที่อ่านมาแล้ว...คงพอเข้าใจนะครับว่าผมจะสื่อถึงอะไร... ผมกำลังสื่อว่าโอกาสเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยาก แต่เราก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กันแล้ว ก็ควรจะไม่ประมาทในชีวิต...ถ้าเราเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม ซึ่งถ้าเราทำไม่ดีก็ย่อมกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งแน่นอน...

ก่อนจบบทความ ขอขอบคุณภาพสวยๆจากภาพยนต์การ์ตูนเรื่อง พระพุทธเจ้า... 

จุดกำเนิด จิตศรัทธาบล็อก

         

           วันนี้วันที่ 22 เมษายน 2555 วันแรกของบล็อกนี้... เนื่องจาก Blogger ก็คือตัวผู้เขียนเองนี่แหละครับ... ก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็ร่วม 30 ปีแล้ว... ก็พอจะผ่านประสบการณ์ดีๆมามากมายพอสมควร... การที่จะเก็บสิ่งดีๆไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว มันก็จะดูเห็นแก่ตัวไปนิด... ที่จริงแล้วผมอยากจะเขียนบล็อกประเภทนี้มานานแล้ว (ประมาณ 3 ปีที่แล้ว)  แต่เนื่องด้วยความที่ผลัดวันประกันพรุ่ง ทำให้ไม่ได้เขียนขึ้นมา... บล็อกจิตศรัทธานี้ ผมจะพยายามเขียนจากประสบการณ์และการได้อ่านหนังสือ หรือการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ... รายละเอียดโดยมากจะกล่าวเกี่ยวกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา, วิทยาศาสตร์เชิงพุทธศาสนา, สถานที่ทำบุญ, ประวัติหลวงพ่อองค์ต่างๆ, หลักการทำบุญต่างๆ รวมถึงเรื่อง How to success ที่มีหนังสือเขียนออกมามากมายซึ่งผมก็อ่านมามากพอสมควร (ตอนนี้ยังไม่สำเร็จนะครับ ha ha ha)  และอีกมากมายตามอารมณ์ของผมเองนี่แหละครับ...

          จุดประสงค์ของผมคือมีความหวังให้บทความต่างๆ ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน ไม่ว่าจะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และทำตนให้มีเป้าหมายมากยิ่งขึ้น...จุดเล็กๆจุดนี้ อาจจะมีประโยชน์ต่อท่านที่ได้อ่านนะครับ... ทั้งนี้ก่อนจะจบบทความแรกนี้... บทความทั้งหมดที่ผมจะเขียนผมจะบอกแหล่งที่มาเสมอนะครับ ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง...เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เกิดความเชื่อและศรัทธาอย่างแท้จริง...ขอบคุณมากครับ...

    • Popular
    • Categories
    • Archives